พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
เหรียญรุ่น 1 หล...
เหรียญรุ่น 1 หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม เนื้อนวะ จำนวนการสร้าง ๓๐๐ เหรียญ
*********หลวงปู่เม้า พลวิริโย ท่านเป็นพระเถระที่มีอายุและพรรษาสูงที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย ท่านมีอายุ ๑๐๒ ปี และอยู่ในบวรพุทธศาสนาถึง ๘๗ พรรษา ท่านเป็นผู้สร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นด้วยการสร้างโรงเรียน พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิ สระน้ำ ในวัดต่างๆ ถึง ๖ วัด ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสเองถึง ๔ วัดในจังหวัดบุรีรัมย์ ท่านเป็นผู้มีวัตรปฏิบัติหมดจดงดงาม ไม่บกพร่องด่างพร้อยแต่ประการใดน่าศรัทธาเลื่อมใส ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ท่านเป็นศุนย์รวมจิตใจของสาธุชนทั้งใกล้และไกลโดยทั่วกัน นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างตระกรุดโทนที่ขึ้นชื่อเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในบรรดานักสะสมพระเครื่องและก็มีอิทธิปาฏิหารย์ปรากฏอยู่ในสมรภูมิอินโดจีนอย่างน่าตืนใจ กระทั่งท่าน จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ในสมันนั้น ยังไปนมัสการ ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน เพราะทหารที่ได้รับตระกรุดจากท่านไปนั้นต่างแคล้วคลาดจากภัยตรายในสมรภูมิ ซึ่งมีแต่เสียงปืนและระเบิดอย่างน่าประหลาดใจทุกคน

หลวงปู่เม้า พลวิริโย นามเดิม เม้า สุราฤร์ เกืดเมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๗ ปี ๒๔๑๗ เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี ได้บรรชาเป็นเณร โดยมีพระอาจารย์นิล ชักชวนให้อุปสมบทเป็นเณร ณ วัดใหม่เรไรทอง ท่านได้ศึกษาอยู่จนอายุได้ ๒๐ ปี จึงอุปสมบทเป็นพระอยู่ที่วัดใหม่เรไรทองเช่นกัน เมื่อท่านอุปสมบทได้ ๕ พรรษาก็ได้ร่วมกับญาติโยมในถิ่นนั้นช่วยกันสร้างสาลาการเปรียญจนสำเร็จ ๑ หลัง จากนั้นก็ก็ย้ายจากวัดใหม่เรไรทองไปอยู่วัดบ้านถนนหัก และได้ศึกษาวิชาวิปัสนากรรมฐานอยู่กับพระอาจารย์เพียร ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่โด่งดังในยุคนั้น ระหว่างนั้นท่านก็ได้สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง กุฏิ ๑ หลังจนสำเร็จ หลังจากที่ท่านได้เรียนวิชาต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์เพียร จนหมดสิ้นแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ที่วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งขณะนั้นก็มีพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระร่วมศึกษาอยู่ด้วย ต่อมาท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็ยเจ้าอาวาสวัดบ้านตะโก ท่านก็ได้พัฒนาวัดตะโกจนเป็นวัดที่ทันสมัยและเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว โดยสร้างพระอุโบสถ ๑ หลัง และสระน้ำใว้ในวัดเพื่อความสะดวกของพระภิกษุสามเณรและญาติโยมโดยทั่วไป เมื่อท่านเห็นว่าวัดตะโกนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองดีแล้ว ท่านไม่ต้องการที่จะหาความสุขส่วนตัวอยู่ที่วัดนี้ ท่านจึงย้ายไปจากวัดบ้านตะโกไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดสังเวทวิริญาวาสและได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้น ๑ หลัง พระอุโบสถ ๑ หลัง กุฏิ ๑ หลัง และยังแบ่งที่ดินในวัดให้สร้างโรงเรียนอีก ๔ ไร่ เพื่อที่จะใช้เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของกุลบุตรกุลธิดาของญาติโยมในถิ่นนั้น หลังจากนั้นท่านจึงได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดบ้านหนองยายพิม ท่านก็ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและความสุขส่วนตัว ท่านยังได้ทุ่มเทกำลังกายสร้างกุฏิ ๑ หลัง ศาลาการเปรียญ ๑ หลังจนสำเร็จ หลังจากนั้นท่านจึงย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดหนองสี่เหลี่ยมในปัจจุบัน และท่านก็ได้เริ่มงานพัฒนาวัดสี่เหลี่ยมโดยการสร้างพระอุโบสถ ๑ หลัง แต่ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เพราะขาดทุนทรัพย์ในการก่อสร้าง หลวงปู่เองก็มีอายุ ๑๐๐ ปีแล้ว จึงอยากให้พระอุโบสถหลังนี้เสร็จโดยเร็ว หลวงปู่จึงดำริที่จะสร้างเหรียญรูปเหมือนของท่านขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อที่จะได้ให้ไว้เป็นเครื่องสักการะบูชายึดเหนี่ยวจิตใจ และคุ้มครองภัยตรายแก่บรรดาลูกศิษย์โดยทั่วกัน อีกทั้งจะได้นำทุนทรัพย์มาทำการบูรณะปฏิสังขรสร้างพระอุโบสถให้สำเร็จลุล่วงต่อไป

จะเห็นได้ว่าท่านเป็นพระเถระที่น่าเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง นอกจากท่านจะบริหารงานในวัดต่างๆ ให้เจริญรุ่งเรืองแล้ว ท่านยังเป็นพระนักพัฒนา นักก่อสร้างที่มีฝีมือไม่น้อย ใช่แต่เท่านั้นท่านยังเป็นพระเคร่งวิปัสสนากัมมัฏฐานที่เชี่ยวชาญในไสยเวทย์สูงยิ่งอีกรูปหนึ่ง โดยเฉพาะตระกรุดที่ท่านได้สร้างขึ้นในโอกาสต่างๆ เป็นที่นิยมนับถือของมหาชนทั่วไปและน้ำมนต์ก็เป็นสิ่งที่บรรดาลูกศิษย์ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง และเชื่อกันว่าถ้าได้อาบน้ำมนต์ของหลวงปู่แล้วจะทำมาค้าขึ้น มีโชคลาภและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และถ้าได้ดื่มน้ำมนต์ของหลวงปู่ติดต่อกันเจ็ดเสาร์จะไม่มีวันตายโหง โดยเฉพาะวิธีการเศกน้ำมนต์ของหลวงปู่ ท่านจะเศกน้ำมนต์เฉพาะวันเสาร์ ท่านจะเศกจนกระทั่งบาตรน้ำมนต์มีความเย็นมากจึงจะนำไปใช้ได้ จะเห็นได้ว่าพลังจิตของท่านนั้นนิ่งสงบและบริสุทธิ์จริงๆ

ในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๑๗ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันทำบุญอายุของหลวงปู่เม้า พลวิริโย ครบ ๑๐๐ ปี เวลา ๑๘.๐๐ น. พระสงฆ์ ๑๐๐ รูป เจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นหลวงปู่จะทำการปลุกเศกเหรียญรูปเหมือน ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นแรกของท่าน วันรุ่งขึ้นวันพุธที่ ๕ ถวายอาหารบิณฑบาตรแด่พระภิกษุ ๑๐๐ รูปเสร็จแล้ว พระภิกษุสวดต่ออายุให้แก่หลวงปู่ หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ แล้วหลวงปู่จะมีของแจกเป็นที่ระลึกในงานนี้ด้วย

สำหรับเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่เม้า พลวิริโย ได้จัดสร้างขึ้นเพียงพิมพ์เดียวเท่านั้นเป็นเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ มี ๔ ชนิดด้วยกัน คือ ทองคำ เงิน สัมฤทธิ์ ทองแดง
เหรียญทองคำ สร้าง ๙ เหรียญ อัตราค่าบูชา เหรียญละ ๒,๕๐๐ บาท
เหรียญเงิน สร้าง ๓๐๐ เหรียญ อัตราค่าบูชา เหรียญละ ๒๐๐ บาท
เหรียญสัมฤทธิ์ สร้าง ๓๐๐ เหรียญ อัตราค่าบูชา เหรียญละ ๑๐๐ บาท
เหรียญทองแดง สร้าง ๗๙๐๘ เหรียญ อัตราค่าบูชา เหรียญละ ๒๐ บาท
***รวม ๘๕๑๗ เหรียญ***
****ที่มาหนังสืออาณาจักรพระเครื่อง เล่มที่ ๑๙******
ผู้เข้าชม
2141 ครั้ง
ราคา
ขายแล้ว
สถานะ
ขายแล้ว
โดย
ชื่อร้าน
บารมีหลวงปู่เม้า
ร้านค้า
โทรศัพท์
ไอดีไลน์
tum_lawyer
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 008-8-46367-6
2. ธนาคารทหารไทย / 513-2-27866-3

ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
aonsamuiยุ้ย พลานุภาพเสน่ห์พระเครื่องsomemanว.ศิลป์สยามLungchad
kumphaแมวดำ99sun99พีพีพระสมเด็จเทพจิระภูมิ IR
บี บุรีรัมย์tplasPopgomesเอ็ม คงกะพันBeerchang พระเครื่องholypanyadvm
fuchoo18ยอด วัดโพธิ์Achinattapong939termboonน้ำตาลแดง
Spidermanเนินพระ99ชา วานิชชาวานิชPoosuphan89Nithiporn

ผู้เข้าชมขณะนี้ 829 คน

เพิ่มข้อมูล

เหรียญรุ่น 1 หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม เนื้อนวะ จำนวนการสร้าง ๓๐๐ เหรียญ




  ส่งข้อความ



ชื่อพระเครื่อง
เหรียญรุ่น 1 หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม เนื้อนวะ จำนวนการสร้าง ๓๐๐ เหรียญ
รายละเอียด
*********หลวงปู่เม้า พลวิริโย ท่านเป็นพระเถระที่มีอายุและพรรษาสูงที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย ท่านมีอายุ ๑๐๒ ปี และอยู่ในบวรพุทธศาสนาถึง ๘๗ พรรษา ท่านเป็นผู้สร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นด้วยการสร้างโรงเรียน พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิ สระน้ำ ในวัดต่างๆ ถึง ๖ วัด ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสเองถึง ๔ วัดในจังหวัดบุรีรัมย์ ท่านเป็นผู้มีวัตรปฏิบัติหมดจดงดงาม ไม่บกพร่องด่างพร้อยแต่ประการใดน่าศรัทธาเลื่อมใส ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ท่านเป็นศุนย์รวมจิตใจของสาธุชนทั้งใกล้และไกลโดยทั่วกัน นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างตระกรุดโทนที่ขึ้นชื่อเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในบรรดานักสะสมพระเครื่องและก็มีอิทธิปาฏิหารย์ปรากฏอยู่ในสมรภูมิอินโดจีนอย่างน่าตืนใจ กระทั่งท่าน จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ในสมันนั้น ยังไปนมัสการ ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน เพราะทหารที่ได้รับตระกรุดจากท่านไปนั้นต่างแคล้วคลาดจากภัยตรายในสมรภูมิ ซึ่งมีแต่เสียงปืนและระเบิดอย่างน่าประหลาดใจทุกคน

หลวงปู่เม้า พลวิริโย นามเดิม เม้า สุราฤร์ เกืดเมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๗ ปี ๒๔๑๗ เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี ได้บรรชาเป็นเณร โดยมีพระอาจารย์นิล ชักชวนให้อุปสมบทเป็นเณร ณ วัดใหม่เรไรทอง ท่านได้ศึกษาอยู่จนอายุได้ ๒๐ ปี จึงอุปสมบทเป็นพระอยู่ที่วัดใหม่เรไรทองเช่นกัน เมื่อท่านอุปสมบทได้ ๕ พรรษาก็ได้ร่วมกับญาติโยมในถิ่นนั้นช่วยกันสร้างสาลาการเปรียญจนสำเร็จ ๑ หลัง จากนั้นก็ก็ย้ายจากวัดใหม่เรไรทองไปอยู่วัดบ้านถนนหัก และได้ศึกษาวิชาวิปัสนากรรมฐานอยู่กับพระอาจารย์เพียร ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่โด่งดังในยุคนั้น ระหว่างนั้นท่านก็ได้สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง กุฏิ ๑ หลังจนสำเร็จ หลังจากที่ท่านได้เรียนวิชาต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์เพียร จนหมดสิ้นแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ที่วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งขณะนั้นก็มีพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระร่วมศึกษาอยู่ด้วย ต่อมาท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็ยเจ้าอาวาสวัดบ้านตะโก ท่านก็ได้พัฒนาวัดตะโกจนเป็นวัดที่ทันสมัยและเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว โดยสร้างพระอุโบสถ ๑ หลัง และสระน้ำใว้ในวัดเพื่อความสะดวกของพระภิกษุสามเณรและญาติโยมโดยทั่วไป เมื่อท่านเห็นว่าวัดตะโกนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองดีแล้ว ท่านไม่ต้องการที่จะหาความสุขส่วนตัวอยู่ที่วัดนี้ ท่านจึงย้ายไปจากวัดบ้านตะโกไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดสังเวทวิริญาวาสและได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้น ๑ หลัง พระอุโบสถ ๑ หลัง กุฏิ ๑ หลัง และยังแบ่งที่ดินในวัดให้สร้างโรงเรียนอีก ๔ ไร่ เพื่อที่จะใช้เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของกุลบุตรกุลธิดาของญาติโยมในถิ่นนั้น หลังจากนั้นท่านจึงได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดบ้านหนองยายพิม ท่านก็ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและความสุขส่วนตัว ท่านยังได้ทุ่มเทกำลังกายสร้างกุฏิ ๑ หลัง ศาลาการเปรียญ ๑ หลังจนสำเร็จ หลังจากนั้นท่านจึงย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดหนองสี่เหลี่ยมในปัจจุบัน และท่านก็ได้เริ่มงานพัฒนาวัดสี่เหลี่ยมโดยการสร้างพระอุโบสถ ๑ หลัง แต่ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เพราะขาดทุนทรัพย์ในการก่อสร้าง หลวงปู่เองก็มีอายุ ๑๐๐ ปีแล้ว จึงอยากให้พระอุโบสถหลังนี้เสร็จโดยเร็ว หลวงปู่จึงดำริที่จะสร้างเหรียญรูปเหมือนของท่านขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อที่จะได้ให้ไว้เป็นเครื่องสักการะบูชายึดเหนี่ยวจิตใจ และคุ้มครองภัยตรายแก่บรรดาลูกศิษย์โดยทั่วกัน อีกทั้งจะได้นำทุนทรัพย์มาทำการบูรณะปฏิสังขรสร้างพระอุโบสถให้สำเร็จลุล่วงต่อไป

จะเห็นได้ว่าท่านเป็นพระเถระที่น่าเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง นอกจากท่านจะบริหารงานในวัดต่างๆ ให้เจริญรุ่งเรืองแล้ว ท่านยังเป็นพระนักพัฒนา นักก่อสร้างที่มีฝีมือไม่น้อย ใช่แต่เท่านั้นท่านยังเป็นพระเคร่งวิปัสสนากัมมัฏฐานที่เชี่ยวชาญในไสยเวทย์สูงยิ่งอีกรูปหนึ่ง โดยเฉพาะตระกรุดที่ท่านได้สร้างขึ้นในโอกาสต่างๆ เป็นที่นิยมนับถือของมหาชนทั่วไปและน้ำมนต์ก็เป็นสิ่งที่บรรดาลูกศิษย์ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง และเชื่อกันว่าถ้าได้อาบน้ำมนต์ของหลวงปู่แล้วจะทำมาค้าขึ้น มีโชคลาภและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และถ้าได้ดื่มน้ำมนต์ของหลวงปู่ติดต่อกันเจ็ดเสาร์จะไม่มีวันตายโหง โดยเฉพาะวิธีการเศกน้ำมนต์ของหลวงปู่ ท่านจะเศกน้ำมนต์เฉพาะวันเสาร์ ท่านจะเศกจนกระทั่งบาตรน้ำมนต์มีความเย็นมากจึงจะนำไปใช้ได้ จะเห็นได้ว่าพลังจิตของท่านนั้นนิ่งสงบและบริสุทธิ์จริงๆ

ในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๑๗ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันทำบุญอายุของหลวงปู่เม้า พลวิริโย ครบ ๑๐๐ ปี เวลา ๑๘.๐๐ น. พระสงฆ์ ๑๐๐ รูป เจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นหลวงปู่จะทำการปลุกเศกเหรียญรูปเหมือน ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นแรกของท่าน วันรุ่งขึ้นวันพุธที่ ๕ ถวายอาหารบิณฑบาตรแด่พระภิกษุ ๑๐๐ รูปเสร็จแล้ว พระภิกษุสวดต่ออายุให้แก่หลวงปู่ หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ แล้วหลวงปู่จะมีของแจกเป็นที่ระลึกในงานนี้ด้วย

สำหรับเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่เม้า พลวิริโย ได้จัดสร้างขึ้นเพียงพิมพ์เดียวเท่านั้นเป็นเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์ มี ๔ ชนิดด้วยกัน คือ ทองคำ เงิน สัมฤทธิ์ ทองแดง
เหรียญทองคำ สร้าง ๙ เหรียญ อัตราค่าบูชา เหรียญละ ๒,๕๐๐ บาท
เหรียญเงิน สร้าง ๓๐๐ เหรียญ อัตราค่าบูชา เหรียญละ ๒๐๐ บาท
เหรียญสัมฤทธิ์ สร้าง ๓๐๐ เหรียญ อัตราค่าบูชา เหรียญละ ๑๐๐ บาท
เหรียญทองแดง สร้าง ๗๙๐๘ เหรียญ อัตราค่าบูชา เหรียญละ ๒๐ บาท
***รวม ๘๕๑๗ เหรียญ***
****ที่มาหนังสืออาณาจักรพระเครื่อง เล่มที่ ๑๙******
ราคาปัจจุบัน
ขายแล้ว
จำนวนผู้เข้าชม
2142 ครั้ง
สถานะ
ขายแล้ว
โดย
ชื่อร้าน
บารมีหลวงปู่เม้า
URL
เบอร์โทรศัพท์
0874413720
ID LINE
tum_lawyer
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
3. ธนาคารกสิกรไทย / 008-8-46367-6
4. ธนาคารทหารไทย / 513-2-27866-3




กำลังโหลดข้อมูล

หน้าแรกลงพระฟรี